เอกชนวอนรัฐเปิดประเทศแบบจัดเต็มลุยอีเวนต์ทั่วประเทศ ลอยกระทง ปีใหม่ เพิ่มเงินทุนเอสเอ็มอี ดันเศรษฐกิจปีนี้โต 1.5% จ่อถก “พาณิชย์” ขอขึ้นราคาสินค้าบางรายการ อ้างต้นทุนพุ่งตามราคาน้ำมัน ด้านปตท.มองน้ำมันดิบโลกยังสูงต่อ เตรียมลงทุนปีหน้า 4.3 แสนล้าน

ข่าวแนะนำ
“เอกชนขอให้ภาครัฐเปิดประเทศแบบจัดเต็ม ด้วยการจัดกิจกรรมกระตุ้นเศรษฐกิจทั่วประเทศ ทั้งงานลอยกระทง และปีใหม่ เพราะจะช่วยสร้างเม็ดเงิน และทำให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตได้ 1.5% แต่ถ้าเปิดๆ ปิดๆ จัดกิจกรรมไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ ก็จะไม่เป็นผลดีต่อผู้ประกอบการ เพราะบริหารและคำนวณต้นทุนการทำธุรกิจได้ยาก นอกจากนี้ ภาครัฐควรเร่งเจรจากับประเทศต่างๆไม่ให้กักตัวผู้เดินทางที่กลับจากไทย เพื่ออำนวยความสะดวก และทำให้เค้าอยากมาไทยมากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ภาคการท่องเที่ยวในปีหน้ากลับมาฟื้นตัวได้ดีขึ้น”

ทั้งนี้ กกร.มีความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงมาก และการขาดแคลนวัตถุดิบบางชนิด จนส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในประเทศและส่งออก รวมถึงยังกระทบต่อต้นทุนการขนส่ง โดยในเร็วๆนี้ จะเสนอเรื่องดังกล่าวให้กระทรวงพาณิชย์รับทราบข้อเท็จจริง และส่งสัญญาณที่ชัดเจน เรื่องการปรับราคาขายสินค้าที่ได้รับผลกระทบสูง เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ โลหะ กระดาษ เคมีภัณฑ์ เป็นต้น

ส่วนนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า การเปิดประเทศของรัฐบาลอยากให้กระตุ้นการจัดกิจกรรมเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ภายใต้การป้องกันตามมาตรฐานสาธารณสุข เช่น ลอยกระทง
รวมถึงเพิ่มสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้มีเงินลงทุนรองรับเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัว โดยเสนอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ขยายวงเงินค้ำประกันเป็น 70% จากเดิม 40% โดยเชื่อว่าหากจัดกิจกรรมและเพิ่มสภาพคล่องให้เอสเอ็มอีได้จะผลักดันให้เศรษฐกิจปีนี้ขยายตัวได้ 1.5% แน่นอน

ด้านนายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกปีนี้คาดว่าจะเติบโตที่ 5.9% ขณะที่เศรษฐกิจไทยปีนี้อยู่ที่ 0.7-1% ปีหน้าหวังว่าจะโตมากกว่านี้ ซึ่งความท้าทายหลังโควิด-19 คือ เรื่องเทคโนโลยีและรูปแบบการทำงานที่ต้องปรับตัวให้รับมือกับการเกิดวิกฤติโดยไม่ล้มไปทั้งสาย ทั้งนี้ ตามแผนลงทุนของกลุ่ม ปตท.ปีหน้ากำหนดวงเงินไว้ 430,000 ล้านบาท และภายใน 5 ปีจะลงทุนอีก 865,000 ล้านบาท โดยจะเพิ่มบทบาทไปสู่พลังงานทดแทน เทคโนโลยีกักเก็บพลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า รวมทั้งธุรกิจไลฟ์สไตล์ เช่น ยา เครื่องมือทางการแพทย์ อาหารเสริมต่อยอดธุรกิจทางเคมีไปลงทุนในพลาสติกเทคโนโลยีสูง เช่น พลาสติกที่ใช้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์ ขณะที่ราคาน้ำมันดิบตลาดโลกไตรมาส 4 ปีนี้จนถึงไตรมาส 1 ปี 65 คาดว่าจะเฉลี่ยอยู่ที่ 80-90 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล และมีสิทธิขยับขึ้นไปถึง 100 เหรียญฯ.

Leave a Reply